ชีวิตที่ส่องสว่าง
โดย ปัทมโรจน์ มากสุริวงศ์ คริสตจักรแห่งพระบัญชา
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน เมื่อเรารับพระสิริของพระเจ้ามาแล้ว
เราก็จะต้องลุกขึ้นฉายแสงแห่งพระสิริของพระเจ้าออกไป(อสย.61:1-2)
ชีวิตของเราจึงต้องส่องสว่างความดีงาม
ความชอบธรรมและถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าออกไป
เพราะเราเป็นลุกของความสว่างที่ต้องมีชีวิตที่ส่องสว่างในโลกที่เต็มไปด้วย
ความมืดมิดที่ปกคลุม ผมขอแบ่งปันจากพระธรรมเอเฟซัส บทที่ 5:8-14
มาให้ทุกท่านดังต่อไปนี้ครับ
ผมประทับใจคำพูดของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากได้กล่าวไว้ว่า
'ชีวิตที่อยู่เพื่อผู้อื่นเท่านั้น เป็นชีวิตที่มีคุณค่า' สะท้อน
ให้เห็นว่า ชีวิตที่เรามีอยู่นั้น
จะมีคุณค่าจริงแท้ก็ต่อเมื่อมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น
ไม่เพียงแต่อยู่เพื่อความต้องการของตนเอง เรียกว่า อัตตา
แต่ต้องมีจิตสารณะที่ได้รับมาก็เพื่อให้ออกไป
พระธรรมเอเฟซัสในตอนนี้
อัครทูตเปาโลได้พยายามอธิบายและสอนชาวเอเฟซัสให้มีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ซึ่งเป็น
'ชีวิตที่ส่องสว่าง'
'ชีวิตที่ส่องสว่าง' นี้เอง
จึงเป็นชีวิตที่มีคุณค่าเพราะมีส่วนเข้าไปทำให้ชีวิตของผู้ที่อยู่ในความมืดได้รับความสว่างด้วย
อัครทูตเปาโลได้ห้ามผู้เชื่อชาวเอเฟซัสไม่ให้มีส่วนร่วมในความผิดบาป
ทั้งนี้เพราะถึงแม้พวกเขาเคยเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้เป็นความสว่างแล้ว
จึงควรดำเนินชีวิตตามความสว่าง ในข้อ 8 บอกว่า 'เพราะว่าเมื่อก่อนท่าน
'เป็นความมืด' ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าโลกที่อยู่ล้อมรอบพวกเขามืด
แต่หมายถึงชีวิตของพวกเขาเองต่างหากที่เป็นความมืด
เป็นชีวิตที่อยู่ในความบาป
เมื่อเราเป็นความสว่าง เราต้องดำเนินชีวิตที่ส่องสว่าง คือ
ดำเนินชีวิตในความสว่างและอยู่ห่างจากความมืด
ดำเนินชีวิตในความสว่าง
พระคัมภีร์กล่าวไว้ในข้อ 6ข ว่า 'จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง'
ชีวิตที่ดำเนินในความสว่างมีลักษณะอย่างไรบ้าง คือ
1.1 ดำเนินอยู่ในความดีของพระเจ้า(9)...คือความดีทุกอย่าง...
พระวจนะของพระเจ้าได้กล่าวต่อไปว่า ผลของความสว่าง คือความดีทุกอย่าง
ฉะนั้นลูกแห่งความสว่างจะสำแดงความดีออกมา
อันเป็นผลมาจากการรับพระคุณพระเจ้า เราทำดี
ไม่ใช่เพราะทำความดีเพื่อรับความรอดเนื่องจากเรารอดด้วยพระคุณเพราะเหตุแห่งความเชื่อ
เรา ไม่ได้ทำความดีเพื่อรับความรอดแต่เรารอดแล้วจึงสำแดงความดีงามของพระเจ้าใน
ชีวิต (อฟ.2:8-10) เราเป็นคนดี
แต่เพราะพระเจ้าสร้างใจของเราใหม่ให้เป็นคนดี เราจึงกระทำดี
2 คร.5:17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์
ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป
นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
เป็น กระบวนการที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิต จิตวิญญาณบังเกิดใหม่
และจิตใจเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนถ่ายจากสิ่งเก่าไปสู่สิ่งใหม่
(Transformation) ไม่ใช่รถยนต์ที่เปลี่ยนร่างกลายเป็นหุ่นแบบหนัง
Transformers แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่ร่วมมือกับพระเจ้าจากการเปลี่ยนแปลงจิตใจและ
อุปนิสัยจะเปลี่ยนใหม่(รม.12:1-2) ไม่ใช่เป็นผลจากการกระทำ Input process
output แต่เป็นผลที่สำแดงออกมา
เมื่อผู้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณจะสำแดงผลพระวิญญาณ(กท.5:22-23)
นี่เป็นตรรกะ (Logic ) ที่ธรรมดามากว่า 'ข้างในใจเป็นอย่างไร
สิ่งที่แสดงออกก็ย่อมเป็นอย่างนั้น' จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้
พระ เยซูคริสต์ยังได้กล่าวในพระธรรมลูกา
ซึ่งพระองค์ได้สอนสาวกของพระองค์และประชาชน
และสิ่งหนึ่งที่พระองค์กล่าวสั่งสอนอย่างชัดเจน คือ (ลก.6:43-45)
เมื่อ พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งความชอบธรรม และชีวิตของเราอยู่ในพระเจ้า
เราจึงต้องมีแต่สิ่งดีออกมาจากชีวิตของเราเท่านั้น
พระประสงค์ในการทรงสร้างชีวิตมนุษย์มานั้น ก็เพื่อประกอบการดี (อฟ.2:10)
เพราะ ว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์
เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ
พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อประกอบการดี มิใช่กระทำ การร้าย
หรือให้กระทำตามใจเรา
แม้ว่าเราไม่ได้ทำความดีเพื่อรับความรอดแต่เราได้รับความรอดด้วยพระคุณเพราะความเชื่อ
ถ้าเราทำดีให้แก่คนที่ทำดีต่อเรา ไม่มีประโยชน์อะไร
นั่นไม่ใช่เรียกว่าทำดีที่แท้จริง เพราะว่าคนบาป คนทั้งโลกนี้เขาก็ทำกัน
ความดีของเราเทียบกับความดีงาม(พระสิริ)ของพระเจ้า
จะหม่นไปเหมือนเสื้อสีขาวตัวเก่าแม้จะขาวแต่ไปเทียบกับเสื้อสีขาวจะหม่น
ความดีของเราจึงเปรียบเทียบกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว
ไม่ใช่ไม่มีค่าแต่อวดอ้างไม่ได้
ฉะนั้น ในชีวิตคริสเตียนของเราต้องทำดีเสมอ
พระเยซูคริสต์สอนเราทั้งหลาย(มธ.5:13-17)
พระเยซูคริสต์สอนเราทั้งหลายว่า เราต้องเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก
การเป็นเกลือนั้นไม่ใช่อยู่ในขวด ที่ไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนในโลกนี้
แต่การเป็นเกลือต้องทำหน้าที่ของการเป็นเกลือ คือ ต้องแทรกเข้าไปในเนื้อ
เพื่อรักษาเนื้อไม่ให้เน่าเสีย แต่ไม่ใช่เราจะต้องเป็นเหมือนเขา
แต่เราต้องรักษาคุณสมบัติแห่งการเป็นเกลือไว้ คือ
รักษาความเค็มหรือความดีไว้ แล้วเข้าไปมีส่วนในสังคมให้มากที่สุด
เพื่อจะทำดี ช่วยเหลือคนให้มากที่สุด
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มักจะกล่าวกับตัวเขาเองเสมอว่า 'ข้าพเจ้า
เตือนสติตัวเองวันละหลายร้อยครั้งว่า
'ชีวิตด้านในและด้านนอกของข้าพเจ้าอยู่กับการทุ่มเทให้คนอื่นๆ
และข้าพเจ้าจะตอบแทนให้มากพอๆ กับที่ข้าพเจ้าได้รับมา'
1.2 ดำเนินอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า(9)
ความชอบธรรม เป็นลักษณะของความบริสุทธิ์หมดจด โปร่งใส ถูกต้อง
ไม่กระทำผิด คิดคดใดๆ เลย สะอาดไร้ริ้วรอย ไร้ที่ติ
เมื่อ เราเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าได้สวมสภาพใหม่
เป็นสภาพแห่งความชอบธรรมให้กับเรา ฉะนั้นชีวิตที่จะส่องสว่าง
ต้องส่องความชอบธรรม บริสุทธิ์ ยุติธรรมต่อคนทั้งปวง (อฟ.4:24)
ชีวิต ที่อยู่ในพระเจ้า จึงต้องเป็นชีวิตที่ชอบธรรม
พระเจ้าทรงกำชับคนของพระองค์ให้ดำเนินชีวิตด้วยความชอบธรรม ยุติธรรม
รักความถูกต้อง (ฉธบ.16:19)
พระเยซูคริสต์ได้สอนเราทั้งหลายในการดำเนินชีวิตท่ามกลางโลกมืด
โลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลอุบาย แต่เราอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้
แต่เรายังต้องสามารถทวนกระแสแห่งความไม่ชอบธรรม
และยังสามารถยืนหยัดในความชอบธรรมได้
มธ.10:16 'ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า
เหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ
เราอยู่ท่ามกลางกระแสของระบบโลกนี้
เราต้องไม่ไหลตามกระแสแห่งระบบของโลกนี้
เราจึงเปรียบเสมือนเรือที่อยู่บนน้ำที่เป็นกระแสแห่งระบบของโลกนี้
ไม่ใช่ให้น้ำมาอยู่บนเรือทำให้เรืออับปางลงได้
1ทิโมธี 1:19 จงยึดความเชื่อไว้ และมีจิตสำนึกว่าตนชอบ
ซึ่งข้อนี้บางคนได้ละทิ้งเสีย ความเชื่อของเขาจึงอับปางลง
ฉะนั้น เราจึงต้องดำเนินชีวิตทุกช่วงเวลานาที ทุกเหตุการณ์ ทุกสถานการณ์